วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

งานปริญญาเอก

ความแตกต่างระหว่างงานวิจัยระดับปริญญาโทและปริญญาเอก
ข้อแตก ต่างที่สามารถจะบ่งบอกระดับหัวข้อวิจัยระหว่างปริญญาโทและปริญญาเอกได้อย่าง ชัดเจนก็คือ
1. ระดับความยาก หมายถึง งานวิจัยระดับปริญญาเอกมักจะเป็นงานวิจัยที่มีกระบวนวิธีในการวิจัย (Research Methodology) ในระดับสูงใช้วิธีการวิจัยที่ยุ่งยากและซับซ้อน เป็นวิธีการที่ไม่ใช้ในงานวิจัยระดับปริญญาโทอันเป็นวิธี การทั่ว ๆ ไป ตัวอย่างเช่น ระดับปริญญาเอกไม่ทำสำรวจธรรมดาหรือไม่ทำการทดลองสองกลุ่มเล็ก ๆ แต่จะเป็นวิธีการวิจัยประเภท วิจัยนโยบาย วิจัยอนาคตภาพ วิจัยเชิงสาเหตุ วิจัยเมต้า วิจัยความสัมพันธ์หลายชั้นวิจัยเชิงทดลองหลายกลุ่มร่วมกัน หรือวิธีการวิจัยมีมากกว่า 1 วิธีในงานวิจัยเดียวเช่น การ ทำ Delphi แล้วนำไปพัฒนาเป็นโมเดล การทำวิจัยด้วยวิธีวิจัยหนึ่งแล้วนำไปพัฒนาด้วยอีกวิธีการหนึ่ง การวิเคราะห์องค์ประกอบแล้วนำไปวิเคราะห์จำแนกอีกชั้นหนึ่ง การวิจัยแบบส่วนร่วม (PAR) แล้วนำเอาไปสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่และสถิติที่ใช้ในการวิจัยก็มักจะเป็นสถิติระดับสูงที่ยากและซับซ้อน มาก เช่น Factor Analysis, Canonical, Path Analysis, ANCOVA, MANOVA ฯลฯ
ข้อโต้ แย้งของนักศึกษาปริญญาโท บางสาขาที่เรียนวิธีการวิจัยและสถิติอาจจะบอกว่า วิธีการวิจัยและการใช้สถิติของเขาก็ยากเช่นกันจึงควรจะเทียบเท่ากับปริญญา เอก ซึ่งข้อโต้แย้งดังกล่าวก็โต้แย้งได้ถูกต้องและมีเหตุผล เพราะความยากของวิธีวิจัยบางสาขาก็ต้องยกย่องว่ายากยิ่ง บางสาขาเชิงวิศวกรรม หรือทางวิทยาศาสตร์ก็ยากยิ่งที่จะเข้าใจได้เหมือนกัน ก็จะมีคำตอบในระดับต่อไป
2. ระดับความใหญ่ หมายถึง ระดับของงานวิจัยปริญญาเอกจะเป็นงานวิจัยเพื่อการแก้ปัญหา หรือการสร้างองค์ความรู้ในระดับชาติ หรือระดับสากล การได้มาของข้อมูลเป็นสิ่งที่ได้มาด้วยความยากลำบาก หรือกลุ่มตัวอย่างมีขนาดใหญ่มาก การเก็บข้อมูลใช้ เวลานาน การสร้างเครื่องมือวิจัยมีมากมายหลายชุดครอบคลุมทุกประเด็นทุกปัจจัย ที่ต้องการศึกษา วิธีการวิจัยก็จะเป็นในเชิงนโยบายของชาติใช้เทคนิคการวิเคราะห์เอกสาร (Document Research)แนว วิจัยเชิงนโยบา(Policy Research)
เกี่ยวพันกับผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้ทรงคุณวุฒิที่ยากยิ่งจะได้ข้อมูล การวิเคราะห์ที่ลงรายละเอียดรอบด้านและการสังเคราะห์ที่ต้องครอบคลุม ทุกประเด็นในศาสตร์ กว้างใหญ่และมโหฬารงานสร้างหรือมหาศาลด้วยข้อมูล แต่ หนักแน่นด้วยข้อมูลหลักฐานไม่กว้างใหญ่ไร้จุดหมาย หาจุดจบไม่เจอ คิดนอกกรอบจนออกไปนอกประเด็น หรือออกไปนอกสาขากู่ไม่กลับ ไร้สาระและจับประเด็นสำคัญไม่ได้ระดับความใหญ่ของงานวิจัยปริญญาเอก จึงใหญ่ด้วยสาระของงาน ไม่ใช่เย็บเล่มวิทยานิพนธ์ หนามากเป็นพิเศษ
3. ระดับความลึก หมายถึง งานวิจัยระดับปริญญาเอกที่มีความมุ่งหมายเจาะจงเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพียงเรื่องเดียว มุ่งที่จะเขียนองค์ความรู้ใหม่ หลักการใหม่หรือทฤษฎีใหม่ มีความลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง มีผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในเรื่องนั้นน้อยมาก หรือยังหาผู้ที่เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องนั้นอย่างแท้จริงไม่ได้ เป็นการเจาะลึกลงไปในศาสตร์ที่ในอดีตหาคำตอบไม่ได้มาก่อน หรือคำตอบที่ได้ยังไม่สามารถยืนยันได้แน่นอน จำเป็นที่จะต้องเจาะลึกลงไปเพื่อให้พบความกระจ่างแท้จริงในเรื่อง นั้น ผลที่ได้ของการวิจัยเชิงลึกก็คือ ทฤษฎี หลักการ สูตร การแก้ปัญหา การพัฒนาที่สำเร็จเสร็จสิ้น การได้องค์ความรู้ใหม่ที่ไม่เคยมีใครค้นพบ การค้นพบที่หักล้างทฤษฎีหรือหลักการเดิม ฯลฯ ผู้วิจัยก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในเรื่องนั้นในระดับชาติหรือสากล ซึ่งหาผู้ที่จะเทียบได้น้อยหรือหาได้ยากยิ่ง การ วิจัยเชิงลึกเป็นการสร้างนักวิจัยที่มีวิธีการคิดลึกซึ้ง เต็มไปด้วยจินตนาการ มองทุกอย่างครอบคลุมและรอบด้าน ละเอียดรอบคอบและคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดี มักเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) หรือการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (PAR) ไม่มุ่งเน้นไปที่สถิติยากแต่เน้นการลงลึกในรายละเอียดโดยการได้มา ซึ่งความรู้หรือทฤษฎีอยู่ในขั้นยาก อาจเป็นงานระดับชาติหรืองานระดับสากล หรือ อาจเป็นงานในระดับเล็กแต่จะเป็นพื้นฐานสำคัญหรือรากเหง้าของศาสตร์ในอนาคต ได้
มาตรฐานหลักสูตรบัณฑิตศึกษาของไทย
เมื่อพิจารณาหลักสูตรบัณฑิตศึกษาของไทยตามประกาศกระทรวง ศึกษาธิการ (2548) ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อควบคุมมาตรฐานการศึกษาในระบบ บัณฑิตศึกษาของไทย จะแยกระดับงานวิจัยออกเป็นระดับ ที่มีหน่วยกิตแตกต่างกันในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เมื่อเปรียบเทียบตามระดับหน่วยกิตก็ได้เป็นระดับ 6 หน่วยกิต 12 หน่วยกิต 36 หน่วยกิต 48 - 72 หน่วยกิต ได้แก่
ภาคนิพนธ์หรือการค้นคว้าอิสระ 3-6 หน่วย กิต
บัณฑิตศึกษาหลายแห่งกำหนดโครงสร้างหลักสูตรปริญญาโทเป็นแบบที่เรียกกันว่า แผนข
คือ ทำการค้นคว้าอิสระ 3 หน่วยกิตบ้างหรือภาคนิพนธ์ขนาด 6 หน่วยกิตและให้เรียนวิชาเพิ่มเติมอีก 2 วิชา การค้นคว้าอิสระหรือภาคนิพนธ์ขนาด 6 หน่วยกิต เป็นการทำภาคนิพนธ์โดยนักศึกษาซึ่งเหมือนกับการฝึกทำงานวิจัย เป็นรายวิชาที่เน้นฝึกกระบวนการวิจัย โดยมี อาจารย์ควบคุมเพียงคนเดียวและมีกรรมการสอบ 3 คน เป็นการทำวิจัยครบ 5 บท กรอบวิธีการวิจัยขนาดเล็กเน้น เพียงกลุ่มตัวอย่างเฉพาะเจาะจง มักทำให้หน่วยงานหรือองค์กร ไม่สามารถนำมาอ้างอิงหรือยอมรับเป็นหลักการและทฤษฎีใด ๆ ได้ เป็นงานที่ฝึกกระบวนการให้ครบถ้วนและรู้จักวิธีการทำวิจัย ปัญหาของนักศึกษาก็คือ หลายคนสับสนและขาดความเชื่อมั่น เมื่อจบไปไม่พร้อมเป็นนักวิจัยและเมื่อศึกษาต่อปริญญาเอกบางแห่งก็ขอให้นักศึกษาเรียนปรับพื้นฐาน การวิจัยหรือให้มีผลงานวิจัยจริงเพื่อมาสมัครสอบ ขณะเดียวกันรายวิชาวิทยานิพนธ์บางแห่ง 6 หน่วยกิต แต่ก็มีกระบวนการและขั้นตอนการ วิจัยเต็มกระบวนการวิจัย
มีการสอบและขั้นตอนเข้ม ข้นเท่ากับงานวิจัยขนาด 12 หน่วยกิต ผลการวิจัยสามารถนำไปเป็นหลักการและอ้างอิงได้เป็นอย่างดี จึงต้องพิจารณางานวิจัยจากเนื้อหามากกว่าพิจารณาหน่วยกิต ปริญญา นิพนธ์หรือวิทยานิพนธ์ 12 หน่วยกิต (Thesis) เป็นข้อ กำหนดตามมาตรฐานบัณฑิตศึกษาที่งานวิจัยระดับปริญญาโทจะต้องมีถึง 12 หน่วยกิต เพื่อให้เวลากับนักศึกษาได้ทำการค้นคว้าอย่างเพียงพอและมีขอบเขตงาน ที่กว้างขวาง ลุ่มลึกและซับซ้อนสมกับความเป็นมหาบัณฑิต ซึ่ง หลายสถาบันกำหนดขนาดของงานวิจัยระดับปริญญาโทที่ 12 หน่วยกิต อาจแยกเป็นหน่วยกิตลงหลายภาคเรียนหรืออาจลงทะเบียนครั้งเดียวเมื่อ สามารถทำวิจัยได้สำเร็จก่อนกำหนด งานวิจัยระดับนี้จะมีอาจารย์ที่ปรึกษา 1-2 คน และมีกรรมการสอบ 3-5 คน และมีอาจารย์จากภายนอกสถาบันมาร่วมพิจารณาผลการวิจัยด้วยหรือเป็นประธานในการสอบ เพื่อควบคุมคุณภาพในการวิจัย ปริญญานิพนธ์หรือวิทยานิพนธ์ 48 หน่วย กิต (Dissertation) แต่เดิม วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกบางแห่งจะกำหนด 36 หน่วยกิต ต่อมาได้ปรับเป็น 48 หน่วยกิต ตามข้อกำหนดมาตรฐานบัณฑิตศึกษาสำหรับงานวิจัยระดับปริญญาเอก สำหรับผู้จบการศึกษาระดับปริญญาโทและต้องมีการเรียนการสอนวิชาชั้นสูงเพิ่ม เติม เป็นงานวิจัยที่ต้องใช้เวลาความมานะอุตสาหะ กระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อน ในการบ่มเพาะนักวิจัยระดับสูงให้ทำงานวิจัยในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เกี่ยวข้องกับผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานระดับต่าง ๆ มากมาย
สร้างนักวิชาการชั้นสูงที่ลุ่มลึกในศาสตร์การวิจัย แม่นยำในระเบียบวิธีการวิจัย ชัดแจ้งและรอบรู้ในสิ่งที่ศึกษา การแสดงความคิดเห็นและแสดงออกทางวิชาการด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่น ในวิถีที่ถูกต้องเพื่อสร้างดุษฎีบัณฑิตผู้มี คุณธรรมและจริยธรรม เป็นปราชญ์อย่างแท้จริงจำเป็นต้องให้หน่วยกิตมากและยากจะสำเร็จใน เวลาอันสั้น ประกอบด้วยอาจารย์ที่ปรึกษา 2-3 คน มีกรรมการสอบจากภายนอกเข้ามาเป็นประธานการสอบหรือเป็นกรรมการพิจารณาวิทยา นิพนธ์ เพื่อควบคุมคุณภาพการวิจัย
ปริญญา นิพนธ์หรือวิทยานิพนธ์ 48-60 หน่วยกิต เป็นข้อ กำหนดตามมาตรฐานสำหรับผู้ศึกษาระดับปริญญาเอก ประเภทที่ไม่มีการเรียนการสอนเพิ่มเติม แต่เน้นการทำวิจัยเพียงอย่างเดียวโดยการลงทะเบียนวิทยานิพนธ์ตั้งแต่ เริ่มต้นศึกษา เป็นการวิจับที่ถือว่าผู้ศึกษาเป็น นักวิจัยมืออาชีพ เคยทำวิจัยในระดับปริญญาโทหรือเป็นนักวิจัยที่มีผลงานมาโดยตลอดหลัง สำเร็จมหาบัณฑิต ไม่จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมอีก มีประสบการณ์มามากและทำงานในหน่วยงานขนาดใหญ่หรือระดับชาติอยู่แล้ว มีผลงานเชิงประจักษ์ที่นำเสนอในการประชุมหรือสัมมนาระดับชาติหรือ ระดับนานาชาติสม่ำเสมอจึงทำวิจัยเพียงอย่างเดียว โดยอยู่ภายใต้การดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษา 2-3 คนอย่างใกล้ชิด มีกรรมการสอบจากภายนอกเข้ามาเป็นประธานการสอบหรือเป็นกรรมการพิจารณา วิทยานิพนธ์ เพื่อควบคุมคุณภาพการวิจัยเช่นเดียวกับระบบปกติระดับงานวิจัยขนาด 48-60 หน่วยกิต ปริญญา นิพนธ์หรือวิทยานิพนธ์ 72 หน่วยกิต สำหรับผู้ที่เรียนควบปริญญาโทและปริญญาเอก สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีความสามารถยอดเยี่ยมหรือโดดเด่น เช่น สำเร็จปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ก็สามารถเรียนควบปริญญาโทและปริญญาเอกได้

คำตอบของความแตกต่างระหว่างงาน วิจัยระดับปริญญาโทกับระดับปริญญาเอก
เมื่อต้องตอบคำถามถึงแตกต่างระหว่างงานวิจัยระดับปริญญาโทและ ปริญญาเอก ย่อมมีอย่างแน่นอน ขอตอบแบบเข้าใจง่ายที่สุดก็คือ ความยาก ความใหญ่ และความลึก
ความยาก คือ วิธีการวิจัย + สถิติ + การได้มาของข้อมูล
ความใหญ่ คือ ระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ ระดับนานาชาติ
ความลึก คือ หลักการ ทฤษฎี ความรู้ใหม่ อ้างอิงได้

1 ความคิดเห็น:

สุวิทย์ ยอดสละ กล่าวว่า...

อ่านแล้ว...เห็นด้วยไหม..
แสดงความคิดเห็นได้นะครับ
...............